Tapas # 4 ราคาของความฝัน
เมื่อวานนี้ความฝันอย่างนึงของผมได้เป็นจริงขึ้นมา และมาถึงในชีวิตผมเร็วกว่าที่คาดไว้เป็น 10 ปี ต้องขอบคุณผู้หยิบยื่นโอกาสให้ผมและต้องขอบคุณตัวเองด้วยที่ใช้เวลาส่วนนึงสะสมบันไดของความฝันมาทีละนิด จะกระทั่งโอกาสมาถึงเลยคว้าไว้ได้ ถ้าที่ผ่านมาไม่ได้สะสมต้นทุนมาฝันนี้คงไม่เกิดขึ้น
ณ วันที่ความรู้สึกดีใจเรื่องนี้ยังชัดเจนอยู่ผมเลยอยากบันทึกความรู้สึกและแนวคิดต่อเส้นทางการเดินของชีวิตเอาไว้ซักหน่อย ต้องบอกก่อนนะครับว่าข้อความต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านก็อย่าว่ากันเลยนะครับ
ว่ากันตรงๆผมคิดว่าคนเราในชีวิตนั้นมีทางเลือกอยู่สองทางคือ
- เดินตามความฝันของตัวเองโดยยอมจ่ายราคาของมัน
- เลือกเป็นคนธรรมดา ใช้ชีวิตธรรมดา
อาจจะฟังดูโหดร้ายซักหน่อยแต่มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
ถ้าคุณเลือกข้อ 1 แน่นอนว่าคุณต้องจ่ายราคาของมัน เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อไปหาความฝันนั้นหลากหลาย ผมขอยกมาซัก 7 ตัวอย่างละกัน
- สำหรับนักธุรกิจ start up มันอาจจะหมายถึงเวลาพักผ่อนเสาร์อาทิตย์ทั้งหมดเป็นเวลา 5 ปีที่จะต้องหายไปกับงาน
- สำหรับนักเดินทาง มันอาจจะหมายถึงการต้องยอมรับทำงานที่เงินน้อยแต่มีเวลาเยอะ
- สำหรับสำหรับลูก มันอาจจะหมายถึงการต้องจากบ้าน จากพ่อแม่ มา
- สำหรับพ่อ แม่ มันอาจจะหมายถึง การต้องทิ้งลูกรักของตัวเองไว้ให้คนอื่นเลี้ยง
- สำหรับนักกีฬา อาชีพ มันอาจหมายถึง การเลิกทานอาหารโปรดของตัวเองไปตลอดช่วงอาชีพของเขา
- สำหรับนักเรียน มันอาจหมายถึงการต้องยอมไม่ออกไปสนุกสนานกับเพื่อนๆแล้วหมกตัวอยู่กับหนังสืออันน่าเบื่อแทน
- สำหรับมนุษย์ที่ต้องการบรรลุ มันอาจหมายถึงการทิ้งตัวกู ของกู!
อันนั้นคือแนวคิดที่ผมทราบว่าทุกคนรู้อยู่แล้วแหละ ตอนประกาศความฝันให้โลกรู้น่ะมันไม่ยากหรอก มันมายากตอนทำนี่แหละ
คนเยอะมากที่เดินตามเส้นทางแห่งความฝันนี้แต่ไปได้ไม่สุด ล้มเหลวกลางคันซะก่อน ผมเชื่อว่าเกิดขึ้นมาจากเขาเหล่านั้นไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองได้อย่างยั่งยืน
พฤติกรรมคือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อมุ่งหาฝัน แต่สิ่งที่จะทำให้พฤติกรรมนั้นเกิดขึ้นได้คือ
“แนวคิด”
การพยายามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยไม่เปลี่ยนแนวคิดนั้นยากและไม่ยั่งยืน
ผมยกตัวอย่างละกัน ผมเคยพยายามลดน้ำหนักมาไม่รู้กี่รอบล่ะ แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่า จนเมื่อไม่นานมานี้ผมค้นพบวิธีการลดน้ำหนักแบบใหม่
สมัยก่อน: “ห้าม” ตัวเอง ไม่ให้กินของ “ทอด” “อ้วน” “มัน”
อาวุธหลัก: ความอดทน
ผล: ระยะยาวกลับไปหนักเท่าเดิม เพราะตบะแตก
สมัยนี้ : หาวิธีการทำให้ตัวเอง “ไม่อยาก” กินของ “ทอด” “อ้วน” “มัน”
อาวุธหลัก: ความเข้าใจ
ผล: น้ำหนักลดลงมาคงที่ และชีวิตีความสุข
การทำให้ตัวเอง”ไม่อยาก”นั้นจะได้ผลกว่าการ”ห้าม”ตัวเองไม่ให้ทำอะไรมากครับ
นี่คือ”วิธีคิด”ครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับเส้นทางการตามหาฝันของตัวเองครับ
Cheers
Tab
(PS: สำหรับเรื่องลดน้ำหนักผมใช้ความเข้าใจเรื่องโภชนาการมาช่วย เพราะว่าร่างกายของเรานั้นแท้จริงแล้วหิวมาจากการไม่ได้รับแร่ธาตุเพียงพอจึงส่งสัญญาณมาให้เรากิน แต่เราถูกปลุกฝังมาใน DNA ให้หาของกินที่อ้วนและน้ำตาลสูง เพราะในยุคโบราณของสองอย่างนี้คือของที่หายากและจำเป็นต่อการดำรงชีพ แต่ไม่ใช้ความจริงในโลกปัจจุบันอีกแล้ว เพราะฉะนั้นการลดน้ำหนักที่ถูกวิธีและดีต่อสุขภาพคือการทานอาหารที่มีแร่ธาตุสูง ซึ่งวิธีที่ผมใช้คือการทานน้ำผักปั่นก่อนทานข้าวทุกมื้อ แค่นี้ก็หายหิวไป 50% แล้ว เราจะทานข้าวน้อยลงไปเองโดยไม่ทรมานซักนิด จริงๆเรื่องนี้ถ้าจะให้เล่าจะยาวแน่นอนเดี๋ยวจะหาเวลามาเขียนอย่างละเอียดอีกที)