วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

simplifying everything


simplifying everything
เขียนไว้เมื่อวันที่ 18-7-12 วันที่พึ่งฟื้นจากทอนซิลอักเสบวันแรก
(เหตุผลที่เขียนวันที่ไว้เพราะว่าอยากรู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานๆความคิดเราจะเปลี่ยนไปแค่ไหน) 
เมื่อซักเดือนกว่าๆที่แล้ว จู่ๆก็รู้สึกว่า business model ที่ทำอยู่ปัจจุบันนี้มันมีความซับซ้อนเกินความจำเป็นไปอย่างมาก  และเมื่อคิดไปถึงสาเหตุก็พบว่าจริงแล้วเกิดจากตัวผมเองนี่แหละที่พยายามวางกลยุุทธ์ซับซ้อนหลายขั้นหลายตอนไปจนตอนหลังมันพันกันยุ่งไปหมด แล้วเวลาทำงานจริงก็งานเยอะจนจับต้นชนปลายไม่ถูก บริษัทเริ่มเต็มไปด้วยแผนงานที่ปฏิบัติได้แบบลูบหน้าปะจมูก มี protocol เยอะแยะยวบยับเต็มไปหมด สรุปแล้วงานที่วางแผนไว้บนกระดาษอย่างสวยหรูเอาเข้าจริงๆทำได้ไม่เต็มที่ซักอย่าง หรือที่แย่ๆกว่านั้นคือทำไม่เสร็จซักอย่าง
ผมขอเรียกความสิ้นเปลืองเหล่านั้นว่า “งานปลอม”
หมายความว่ามีงานปลอมๆหรืองานที่สร้างขึ้นมาโดยไม่มีความจำเป็นแทรกอยู่มากเกินไป งานปลอมๆนั้นก็กินเวลาบริษัทไปมากมายสูยเสียทรัพยากรทางตรงและอ้อมไปมหาศาล
ผู้บริหารหลายคนรวมถึงผมด้วยเวลาทำงานไปๆมักจะมีแนวโน้มที่พยายามจะ over complicate ทุกสิ่งอย่างไว้ก่อน อาจจะคล้ายเกราะปัองกันตัวเราด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจ เพราะถ้าทำอะไรง่ายๆเบสิคๆ เดี๋ยวลูกน้องอาจจะหาว่าเราโง่รึเปล่า
หลายครั้งเราพยายามทำอะไรยากๆให้เราดูฉลาดรึเปล่า หรือเราพยายามทำงานหนักกลับบ้านดึกเพื่อให้คนอื่นมองว่าเราขยัน พยายาม และ “พิเศษ” กว่าคนอื่นรึเปล่า
แต่ความจริงแล้วการจะทำอะไรให้ง่ายๆนั้นบางทีต้องอาศัยความสามารถและพลังสมองกว่าการทำอะไรยากๆอีก (อ่านแล้วงงๆ แต่ท่านที่เป็นผู้บริหารองค์กรจะเข้าใจดีว่าผมหมายถึงอะไร) 
คิดได้เช่นนี้ผมก็เลยวางแผนใหม่ แผนใหม่ที่ว่าง่ายๆไม่ซับซ้อน ถือคติข้อเดียว
“ลดปริมาณ เพิ่มประสิทธิภาพ”
ของทุกอย่าง:  คน สินค้า การประชุม etc
แต่เวลาลงมือปฏิบัติจริงมันไม่ได้ง่ายๆแบบหรอกครับ เราต้องมีการหา parameter ที่จะใช้วัดว่าเราจะเอาระดับความ”ง่าย” ถึงแค่ไหน
ไหนๆเราก็จะ simplify ทุกอย่างแล้วตัว parameter ก็ไม่ต้องเอาอะไรซับซ้อน ทุกอย่างลด 50% เลยง่ายดี 
ผม list รายการทั้งหมดที่เราต้องการจะทำแล้วเอา เรียงลำดับความสำคัญ แล้วตัดออกครึ่งนึงแล้วค่อยเริ่มวางแผนครับ เนื่องจากหัวข้องานน้อยลงเราจะสามารถทำงานที่เราเลือกได้อย่างละเอียดมากขึ้น



การตัดงานบางทีคล้ายกันตัดใจ


เจ็บแต่จบ



ได้ผลยังไงจะมาเล่าให้ฟังอีกทีนะครับ แต่แค่คิดแผนจบก็สบายใจไป 50% แล้วครับ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น