วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2556

Tapas # 5 ขนาดของหัวใจ


Tapas # 5 ขนาดของหัวใจ




“I am, indeed, a king, because I know how to rule myself.” ― Pietro Aretino

ในชีวิตที่ผ่านมาผมได้พูดคุยกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จหลายท่านไม่ใช่แต่เฉพาะในแวดวงนักธุรกิจแต่รวมถึงผู้คนจากหลากหลายวงการ เช่น นักเขียน, ข้าราชการ, นักกีฬา, อาจารย์, ผู้กำกับ และ นักบวช! ผมได้ข้อสรุปว่าคนเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือมีขนาดของหัวใจที่ไม่ธรรมดา

ไม่ธรรมดาเพราะหัวใจของคนเหล่านี้ใหญ่และแข็งแรงกว่าคนปกติ

เพื่อป้องกันการออกทะเลเพราะนิยามของหัวใจมีเยอะ ผมขอให้จำกัดความของหัวใจใน context ของผมนิดนึง

เอาตัวอย่างแบบง่ายๆใกล้ๆตัวละกันครับ เวลาไปวิ่งแข่งมาราธอน สำหรับคนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นนักแข่ง เรามักจะตั้งเป้าหมายก่อนวิ่งไว้ว่าไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นจะวิ่งให้จบโดยไม่เดินและไม่หยุดพักเด็ดขาด แต่พอเริ่มวิ่งจริงระหว่างการวิ่งช่วงประมาณ 80-90% ของระยะทางสมองของเรามักจะส่งสัญญาณมาบอกประมาณว่า ไม่ไหวละ ใกล้ตายล่ะ ยังไงก็ต้องหยุด หยุดเถอะวิ่งจบไปก็ไม่ได้ตังค์ ไปหาน้ำเย็นๆกินแล้วไปนวดดีกว่า การวิ่งแบบนี้มันเยอะไปไม่ใช่ทางสายกลางทำสุขภาพ  bla bla bla” เชื่อว่าหลายคนคงมีอาการคล้ายๆแบบนี้ (ภาษานักวิ่งเราเรียก hitting the wall)   จริงๆร่างกายเรายังวิ่งสบายครับ แต่ ณ จุดนี้จะเป็นจุดหัวใจจะเข้ามามีตัวแปรสำคัญ สำหรับคนที่มีหัวใจธรรมดาก็จะหยุดวิ่ง แต่คนที่มีขนาดหัวใจไม่ธรรมดาแน่นอนเขาต้องวิ่งจนจบ โดยไม่เดินหรือหยุดพักตามที่ได้ตั้งใจไว้

ในการทำงานหรือการใช้ชีวิต เรื่องราวที่เราเจอจะยิ่งใหญ่และท้าทายกว่าการวิ่งมาราธอนเยอะ แต่คนที่ผ่านมันไปได้และคว้าความสำเร็จมาได้ต้องมีขนาดของหัวใจที่ไม่ธรรมดา ไม่หวั่นไหวต่อแรงกระเพื่อม สิ่งยั่วยุ ความเจ็บปวด หรือกรอบของ comfort zone แม้จะล้มลุกคลุกคลาน หรือบาดเจ็บเลือดสาดแค่ไหน ก็กัดฟันลุกขึ้นมาเดินต่อ โดยสายตาเห็นแต่เป้าหมายที่อยู่ข้างหน้า
พวกที่ฝันใหญ่ๆแต่ทำครึ่งๆกลางๆ เอาแต่โม้แต่ไม่ลงแรง พวกนี้ไม่ได้ไปไหนหรอกครับ รับรอง
ถึงตรงนี้หลายคนคงเริ่มถามตัวเอง เราจะขยายขนาดของหัวใจได้ยังไง?”
ผมมีคำตอบให้ครับ

ต้องฝึกครับ เหมือนที่ฝรั่งเขาว่า

Q: “How do you get to Carnegie Hall?”
A: “Practice, Practice, Practice”

วิธีการที่ดีที่สุดคือฝึกทุกวันอย่างต่อเนื่อง เช่น ถ้าปกติเราเป็นคนนอนดึกเพราะชอบดูทีวีคืนนี้บอกตัวเองเลยว่าจะดูทีวีแค่ 30 นาทีแล้วจะปิดทีวีนอนทันที หรือ ถ้าปรกติเราเป็นคนอ่านหนังสือได้สองสามหน้าสมาธิก็กระเจิงแล้วลองบอกตัวเองเลยว่าวันนี้จะอ่านหนังสือให้ได้ 100 หน้าโดยไม่ลุกไปไหน ถ้าไม่ครบจะไม่ไปทำอย่างอื่น เป็นต้น ผมคิดว่าท่านคงพอเห็นภาพแล้วว่าผมต้องการจะสื่ออะไร นี่คือการฝึกหัวใจของเราให้รับแรงกดดันได้มากขึ้นทีละนิดละหน่อย เรื่องที่ท่านจะฝึกจะเป็นอะไรก็ได้แต่ที่สำคัญคือต้องทำทุกวัน วันละนิดละหน่อย และผลที่อัศจรรย์จะเกิดขึ้นแน่นอนครับ

practice makes perfect

จะขยายขนาดของหัวใจคงไม่มียาขาย ผ่าตัดก็ไม่ได้ อยากได้ต้องทำเองนะครับ

Cheers !


Tab

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

Tapas # 4 ราคาของความฝัน


Tapas # 4 ราคาของความฝัน 

เมื่อวานนี้ความฝันอย่างนึงของผมได้เป็นจริงขึ้นมา และมาถึงในชีวิตผมเร็วกว่าที่คาดไว้เป็น 10 ปี ต้องขอบคุณผู้หยิบยื่นโอกาสให้ผมและต้องขอบคุณตัวเองด้วยที่ใช้เวลาส่วนนึงสะสมบันไดของความฝันมาทีละนิด จะกระทั่งโอกาสมาถึงเลยคว้าไว้ได้ ถ้าที่ผ่านมาไม่ได้สะสมต้นทุนมาฝันนี้คงไม่เกิดขึ้น

ณ วันที่ความรู้สึกดีใจเรื่องนี้ยังชัดเจนอยู่ผมเลยอยากบันทึกความรู้สึกและแนวคิดต่อเส้นทางการเดินของชีวิตเอาไว้ซักหน่อย ต้องบอกก่อนนะครับว่าข้อความต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านก็อย่าว่ากันเลยนะครับ 

ว่ากันตรงๆผมคิดว่าคนเราในชีวิตนั้นมีทางเลือกอยู่สองทางคือ

  1. เดินตามความฝันของตัวเองโดยยอมจ่ายราคาของมัน
  2. เลือกเป็นคนธรรมดา ใช้ชีวิตธรรมดา 


อาจจะฟังดูโหดร้ายซักหน่อยแต่มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

ถ้าคุณเลือกข้อ 1 แน่นอนว่าคุณต้องจ่ายราคาของมัน เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อไปหาความฝันนั้นหลากหลาย ผมขอยกมาซัก 7 ตัวอย่างละกัน

  • สำหรับนักธุรกิจ start up มันอาจจะหมายถึงเวลาพักผ่อนเสาร์อาทิตย์ทั้งหมดเป็นเวลา 5 ปีที่จะต้องหายไปกับงาน
  • สำหรับนักเดินทาง มันอาจจะหมายถึงการต้องยอมรับทำงานที่เงินน้อยแต่มีเวลาเยอะ
  • สำหรับสำหรับลูก มันอาจจะหมายถึงการต้องจากบ้าน จากพ่อแม่ มา
  • สำหรับพ่อ แม่ มันอาจจะหมายถึง การต้องทิ้งลูกรักของตัวเองไว้ให้คนอื่นเลี้ยง
  • สำหรับนักกีฬา อาชีพ มันอาจหมายถึง การเลิกทานอาหารโปรดของตัวเองไปตลอดช่วงอาชีพของเขา
  • สำหรับนักเรียน มันอาจหมายถึงการต้องยอมไม่ออกไปสนุกสนานกับเพื่อนๆแล้วหมกตัวอยู่กับหนังสืออันน่าเบื่อแทน
  • สำหรับมนุษย์ที่ต้องการบรรลุ มันอาจหมายถึงการทิ้งตัวกู ของกู​!

อันนั้นคือแนวคิดที่ผมทราบว่าทุกคนรู้อยู่แล้วแหละ ตอนประกาศความฝันให้โลกรู้น่ะมันไม่ยากหรอก มันมายากตอนทำนี่แหละ 

คนเยอะมากที่เดินตามเส้นทางแห่งความฝันนี้แต่ไปได้ไม่สุด ล้มเหลวกลางคันซะก่อน ผมเชื่อว่าเกิดขึ้นมาจากเขาเหล่านั้นไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองได้อย่างยั่งยืน 

พฤติกรรมคือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อมุ่งหาฝัน แต่สิ่งที่จะทำให้พฤติกรรมนั้นเกิดขึ้นได้คือ 

“แนวคิด” 

การพยายามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยไม่เปลี่ยนแนวคิดนั้นยากและไม่ยั่งยืน 

ผมยกตัวอย่างละกัน ผมเคยพยายามลดน้ำหนักมาไม่รู้กี่รอบล่ะ แต่ล้มเหลวไม่เป็นท่า จนเมื่อไม่นานมานี้ผมค้นพบวิธีการลดน้ำหนักแบบใหม่

สมัยก่อน: “ห้าม” ตัวเอง ไม่ให้กินของ “ทอด” “อ้วน”  “มัน” 
อาวุธหลัก:  ความอดทน
ผล: ระยะยาวกลับไปหนักเท่าเดิม เพราะตบะแตก 

สมัยนี้ : หาวิธีการทำให้ตัวเอง “ไม่อยาก” กินของ “ทอด” “อ้วน” “มัน”
อาวุธหลัก: ความเข้าใจ
ผล: น้ำหนักลดลงมาคงที่ และชีวิตีความสุข 

การทำให้ตัวเอง”ไม่อยาก”นั้นจะได้ผลกว่าการ”ห้าม”ตัวเองไม่ให้ทำอะไรมากครับ 

นี่คือ”วิธีคิด”ครับ 

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับเส้นทางการตามหาฝันของตัวเองครับ

Cheers 

Tab




(PS: สำหรับเรื่องลดน้ำหนักผมใช้ความเข้าใจเรื่องโภชนาการมาช่วย เพราะว่าร่างกายของเรานั้นแท้จริงแล้วหิวมาจากการไม่ได้รับแร่ธาตุเพียงพอจึงส่งสัญญาณมาให้เรากิน แต่เราถูกปลุกฝังมาใน DNA ให้หาของกินที่อ้วนและน้ำตาลสูง เพราะในยุคโบราณของสองอย่างนี้คือของที่หายากและจำเป็นต่อการดำรงชีพ แต่ไม่ใช้ความจริงในโลกปัจจุบันอีกแล้ว เพราะฉะนั้นการลดน้ำหนักที่ถูกวิธีและดีต่อสุขภาพคือการทานอาหารที่มีแร่ธาตุสูง ซึ่งวิธีที่ผมใช้คือการทานน้ำผักปั่นก่อนทานข้าวทุกมื้อ แค่นี้ก็หายหิวไป 50% แล้ว เราจะทานข้าวน้อยลงไปเองโดยไม่ทรมานซักนิด จริงๆเรื่องนี้ถ้าจะให้เล่าจะยาวแน่นอนเดี๋ยวจะหาเวลามาเขียนอย่างละเอียดอีกที)

วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

Tapas # 3 NIMBY/ขยะ/กทม/BIIMBY


Tapas # 3 NIMBY/ ขยะ /กทม / BIIMBY

วันนี้อยากนำเสนอมุมมองแบบแปลกๆเกี่ยวกับทรัพยากรที่เราใช้จากโลกนี้ และความไม่บันยะบันยังของมนุษย์โดยเฉพาะคนเมือง ที่ยังคงทำเหมือนว่าเรามีโลกสำรองให้ไปอยู่เมื่อเราได้สูบทรัพยากรจดหมดโลกไปแล้ว 

ก่อนอื่นดูคลิปนี้กันก่อนนะครับ จริงๆคลิปนี้พูดถึงหลายเรื่องแต่อยากให้มองไปในมุมของเรื่องขยะโดยเฉพาะครับ  








จะเห็นได้ว่าแค่ขยะจากขวดเป็นปัญหาขนาดมหึมา นี้ยังไม่ต้องพูดถึงขยะประเภทอื่นอีกมากมาย แต่ตราบใดที่มันยังไม่มหึมาพอที่จะมีความจำเป็นต้องมาสร้างลานขยะอยู่หลังบ้านเรา เราก็ยังโอเคใช่ไหมครับ 

ลานขยะที่เอาขยะของเราไปกำจัดจะอยู่ไหนก็ได้บนประเทศนี้ตราบใดที่เราไม่เจอมัน

คนส่วนใหญ่คิดอย่างนี้จริงๆโดยเฉพาะ คน กทม

ชาว กทม เนี่ยคือ NIMBY ขั้นเทพ (สำหรับท่านที่ไม่คุ้น NIMBY ย่อมาจาก not in my back yard แปลตรงตัเลยครับว่าที่ไหนก็ได้ที่ไม่ได้ใกล้บ้านชั้น)

เหนื่อยนะครับ 

ขอแนะนำญาติสนิทของ NIMBY  ที่ผมคิดเองคือ BIIMBY ย่อมาจาก because it’s in my backyard พฤติกรรมที่คนเปลี่ยนจุดยืนของตนเพื่อผลประโยชน์ อะแฮ่ม ฟังดูคุ้นๆนะครับ 

จุดยืนของหลายคน เปลี่ยนได้อย่างเร็วเลยล่ะเมื่อผลประโยชน์มากองอยู่ตรงหน้า  

เหมือนที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า everybody has a price 

ปรากฏการณ์นี้เป็นกันตั้งแต่เด็กยันโตและได้รับการใส่ ปุ๋ย พรวนดิน จากลัทธิวัตถุนิยม จนกลายเป็นว่าปรากฏการณ์ ฺBIIMBY การเป็นปรกติของสังคมไทย 

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว กลายเป็นว่าเรื่องนี้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง จนมันกลายพันธ์มาเป็นค่านิยมทางความคิดที่ว่า ขอให้สำเร็จก็พอจะเหยียบหัวใครมาบ้างก็ช่างมัน 

หรือบางส่วนก็พัฒนามาเป็นถ้าพวกพ้องเราทำอะไร จะชั่วจะเลวยังไงก็ไม่ผิดเดี๋ยวหาเหตุผลแถไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าคนอื่นทำเราต้องอัดให้จมดิน เป็นต้น


พระเจ้า!! นี่มันเป็นผลผลิตของ ฺBIIMBY ชัดๆ 

ท่านผู้อ่านน่าจะเห็นด้วยกับผมนะครับว่า BIIMBY นี้หนักกว่า NIMBY เยอะ แต่ความซวยซ้ำซ้อนคือหลายคนที่ผมเจอนี่เป็นมันสองอย่างเลย เหนื่อยนะครับ 



วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556

Tapas # 2 : ตลาดเด็กที่โตวันโตคืน


Tapas # 2 ตลาดของเด็ก : คนใช้น้อยลงแต่ขายเยอะขึ้น



วันก่อนผมได้ไปบ้าน CEO หนุ่มเพื่อนซี้ของผมที่กำลังจะเป็นพ่อคนในอีกไม่กี่เดือน  ไปถึงก็เห็นเพื่อนผมกำลังพะรุงพะลังหอบถุงมากมายลงจากรถ หลังจากจัดของเสร็จ (น่าจะเรียกว่าไปโยนทิ้งไว้บนผื้นแล้วรอให้คนอื่นมาจัดจะถูกต้องกว่า) เพื่อนผมก็หันมาพูดว่า

“ที่เซ็นทรัล แผนกของเด็กแม่งล่อไปครึ่งชั้นแล้วว่ะ” 

ขออภัพที่คำไม่สุภาพเล็กน้อยแต่ต้องการสื่อถึงอารมณ์ ณ ตอนนั้นให้ผู้อ่านได้เห็นภาพเลยเอามาแบบเต็ม version

เราก็เลยได้มีโอกาสสนทนากันอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วเพื่อนผมก็สรุปว่า

“ตลาดของเด็กแม่งโคตรน่าทำ” 

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นถ้าขนาดของตลาดนับเป็นจำนวนคนใช้จะลดลงต่อเนื่องจากอัตราการเกิดที่น้อยลง  


เพราะ dynamic ของตลาดโดยเฉพาะตลาดของเด็กสำหรับผู้มีอันจะกัน หรือตลาดระดับ  A- ขึ้น เปลี่ยนไปเยอะ จากที่พ่อแม่สมัยนี้ (รวมถึงผมด้วย) จะพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเสมอ และเนื่องจากมีลูกจำนวนน้อย เราเลยจัดเต็ม ประเคนสารพัดของให้ลูกน้อย และเมื่อมี demand ก็เลยมี supply ของประเภทของที่เป็นสุดยอดของสุดยอดมาให้พ่อแม่ทังหลายได้เลือกซื้อ อาทิ ของเล่นพลาสติกหน้าตาดูธรรมดามากแต่ทำจากสุดยอดพลาสติกของฝรั่งเศส ราคาสามพันบาท หรือของเล่นที่เป็น block ไม้แต่ทำจากไม้สนไฮโซของญี่ปุ่น ราคาชุดละหมื่นก็เคยเห็นมาแล้ว

อันนี้ยังไม่นับรวม รถเข็น,   carseat,  ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด organic, อุปกรณ์เกี่ยวกับนม ฯลฯ รวมไปถึงเครื่องปั่นไฟ!

หลายท่านอาจจะงงว่าจะเอาเครื่องปั่นไปมาทำอะไร อันนี้เอาไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินเพื่อเลี้ยงตู้แช่น้ำนมแม่ซึ่งถือเป็นของที่มีค่ายิ่ง ถ้านมแม่ในตู้นั้นเสียอาจจะหมายถึงหายนะของครอบครัว (โดยเฉพาะสามี) กันเลยทีเดียว หลายบ้านจึงมีเครื่องปั่นไฟเพื่อประการนี้

เรียกได้ว่าจัดเต็มกันทุกเม็ด ที่ยกตัวอย่างมานี่ยังน้อยที่มากกว่าผมเชื่อว่ามีอีกเพียบ

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดนี้จึงโตวันโตคืนเพราะเลี้ยงลูกสมัยนี้คนเดียวพ่อแม่กล้าใช้เงินมากกว่าคนรุ่นก่อนเลี้ยงลูก 5 คนรวมกัน แม้ตัวเลขนี้จะอุปโลกขึ้นมาจากที่ผมได้คุยกับคนรุ่นก่อนหลายๆท่านแต่เชื่อว่าตัวเลขจริงก็ไม่ต่างจากนี้เท่าไร

ตลาดของเด็กในระบบบนจึงหอมหวานและยังมีที่ว่างอีกมากในการสร้าง niche  ของตัวเอง เช่น ยากันยุง organic เป็นต้น 

ยังไม่นับรวมถึงธุรกิจต่อเนื่องเช่น โรงเรียนนานาชาติที่มีค่าเทอมระดับ 6-7 หลัก ก็มีเปิดกันมากมาย

คำถามที่น่าสนใจกว่าคือ trend นี้จะเคลื่อนตัวสู่ตลาดคนชั้นกลางหรือไม่

ส่วนตัวผมคิดว่าไปแน่และเมื่อนั้นแผนกเด็กที่เซ็นทรัลจะไม่ใช่แค่ครึ่งชั้นแน่นอนครับ 

เจ้าของธุรกิจที่เตรียมพร้อมและศึกษาตลาดให้ดีจะได้ประโยชน์ไปเต็มๆ

Cheers

Tab





วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

Tapas Tip # 1 SuperCar Marketing


Tapas Tip # 1: 

Supercar Marketing 





แนวคิดการขาย SuperCar เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากครับ เพราะ SuperCar เกือบจะเป็น”ของเล่น” ของเศรษฐีเพียงประเภทเดียวที่ในเคสส่วนใหญ่ราคาเมื่อซื้อมาแล้วจะลดลง โอกาสเพิ่มขึ้นของราคานั้นยากนอกจากในกรณีที่กลายเป็นของหายากหรือคลาสิกซึ่งก็ต้องรอกันหลายสิบปี ไม่เหมือน”ของเล่น”อย่างอื่นที่มีการโอกาสในการทำกำไรอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ไม่ว่าจะเป็นนาฬิการาคาแพง,  ภาพเขียน, เพชร หรือแม้แต่กระเป๋า Hermes!

ท่านอาจจะทราบว่า SuperCar เหล่านี้คนที่ซื้อไปนั่นใช่น้อยมากครับ เช่นรุ่นพี่ผมท่านนึงซื้อ SuperCar มาคันนึงในราคา 10  ล้านบาท ใช้ไปได้ประมาณ  4 ปีเศษ วิ่งไป 5000 กิโล ขายไปประมาณ 7 ล้านบาท 

ค่าใช้ 3 ล้านบาทกับ 5000 กิโล มันโคตรแพงครับ ยิ่งถ้าคิดเป็นชั่วโมงที่นั่งอยู่ในรถพวกนี้แล้วยิ่งโคตรแพงหนัก เพราะรถพวกนี้วิ่งกันเร็ว 5000 กิโล คิดเป็นเวลาขับอาจจะแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้นเอง(ประมาณการที่ความเร็ว 220 กิโลเมตร ต่อ ชม) 

3  ล้านบาทกับเวลา 24 ชม !!! 

ถ้าคิดในแง่เศรษฐศาสตร์ที่เราเรียนมา บริษัทพวกนี้ต้องเจ๊งหมดแน่นอน แต่กลับกลายเป็นว่าบริษัทรถที่ผลิตรถเหล่านี้ทำกำไรกันเป็นล่ำเป็นสัน โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเซีย โดยมีจีนเป็นหัวหอกในการกวาดรถราคาแพงเหล่านี้มาวิ่งกันเต็มเมืองใหญ่ๆอย่างเซียงไฮ้หรือปักกิ่ง เป็นต้น 

บางที่เอาตรรกระอย่างเดียวมาทำการตลาดมันไม่ได้หรอกครับ เพราะเบื้องหลังเบื้องลึกของผู้บิโภคมีความซับซ้อน มากกว่าแค่ตาราง 4P เยอะ

ผมถามรุ่นพี่ท่านนี้ที่พึ่งขายรถไปว่าเสียดายเงิน 3 ล้านที่หายไปไหม เขาบอกว่าไม่เสียดายเลย เมื่อผมเอาเรื่อง 3 ล้านกับ 24 ชม ไปทักท้วง พี่ท่านนี้ยกประโยคสุดคลาสิกมาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า

“Life is not measured by the number of breaths we take but by the moments that take our breath away”

แหม ตอบแบบนี้ผมก็ได้แต่ยิ้มๆแล้วคิดในใจว่า 

“สุดยอด marketing คือ emotional marketing ครับ” 

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Book review# 30 Clean


Book Review # 30 : Clean



Just to make it clear, this is not the book for diet or weight control. It’s the book that intends to change your eating habit and relationship with your food. The goal is to transform your eating perspective completely. 

After reading this book and try some of its method, I suddenly realized that my relationship with food is more important than I think. The following sentence from the book actually explains the whole concept. 

“You are what you eat and you eat what you are”

The first part of “ you are what you eat” is quite straightforward and familiar. I grew up listening to this phrase all the time. However, I still eat bad food even though I know it’s unhealthy. The reason is I can’t fight the “craving”. Whenever, I go into diet program it seems like tons of effort has to be put in. My body actually “wants” the bad food but can’t eat it because I’m on a diet. Sounds familiar? 

Here comes the second part that will explain the first part, 

“you eat what you are” 

This phase is not so common to me. Actually, I think I never heard it before I read this book. Explained in detail in the book is how the chemical in our body reacts to cravings. Basically, if you train yourself by putting in fat and unhealthy food you will crave for more fat and unhealthy food. Your body actually “wants” the unhealthy food. 

On the opposite side, if you train yourself to eat healthy food. Your body will be craving for healthy food. You will actually “wants” to eat healthy and believe when it’s come to food, “want to” is much different from “have to”.

It might be difficult to believe but you can actually crave for broccoli instead of french fries. 

The book will give you how you will be able to change eating habit completely and what will happen to your body and mind. 

I have personally tried some of the methods in this book. Within less than a month, these are the things that happen to me : 

  • I have much more energy, I no longer feel lack of energy and sleepy during the afternoon
  • My concentration is at all time high
  • I no longer have sleepless nights
  • I no longer suffer from GERD (Gastroesophageal reflux disease) 
  • I lose 5 kg 
  • My skin condition is improving magically without using any cosmetics

My relationship with food has evolved to the level that sugary donuts don’t seem attractive  to me anymore. All the carving for fatty food suddenly disappears. When there is a sugary stuff in front of me, I no longer “want” to eat it. 

The routine is quite simple, apart from vegetable juice I ate before meals, I just avoid three whites which are white sugar, white flour and white rice (and all of its byproducts). It might seem a bit difficult to follow the routine at first but once you’d get everything settled, good things come naturally. You will not want to get back to your old eating habit again. 


If you believe that a healthy mind stays in a healthy body, this is definitely the book for you. 

9/10

Cheers

Tab



วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Book Review # 29 Train Your Brain for Success


Book review # 29 Train Your Brain for Success



This year is definitely my lucky year as I found the second 10/10 book !

Frankly speaking, I’m not a big fan of personal development book. It might be because I thought that if the technique is good, I should have known it by now. I know some of you also think like me.

As it turns out, I never heard of hundreds of useful techniques which can literally turn my life around. Like the ones I have found in this book.

The book starts out on the techniques and tools that use to increase your memory power which  are extremely useful. Let me put it this way, I can now go through the list of 30 things for about couple minutes and remember all of the list including its position for a couple days after that with 100% accuracy.  Amazing isn’t?

Its quite simple actually, I wonder why my teachers never teach me in school. Or perhaps they did, but I wasn’t paying attention at the time.

Further, it gives techniques of how to read faster which is exactly what I needed at the moment. I know that some of you are tired of reading because it seems like such a long way to go every time you start a new book. Imagine what will it be if you can read three times after with a better level of comprehension? This particular reading technique will definitely help with that. I also learn that, before using the techniques, my reading speed is the same as six graders but it improves tremendously after deploying techniques.

Sound amazing already right? but it’s not even the best part yet.

Then it comes the time management. The most mysterious part of my life where I feel I never got it right. I have read many time management books in the past, I can tell you that this book is definitely thus far the best.

What I love most is that it incorporated tools that I use everyday like google calendar, twisted it a bit, then it into an incredible compass of my hectic life. I have tested this new theory for a couple days and it did really transfer the way I work and the way I live. I feel that for the first time in years, I have things under control.   My physical and mental energy  is at its peak.

My personal life has been improved as well, I have more time with people I love and more time to do something I like.

I’m not going to go into any details because it's much more fun for you to discover it by yourself.

Go get one now!

Enjoy

Tab